วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

น้ำพริกแกง กะหน่อไม้ดอง ของแม่

ทำแกงไก่หน่อไม้ดองแหละ
ครูเพทายส่งน้ำพริกแกงเผ็ด กะหน่อไม้ดองมาให้
อยากกินใจจะขาด แต่ไม่มีเวลาออกไปซื้อวัตถุดิบเสริมเลย

วันนี้มีเหตุให้ต้องออกไปข้างนอก (เพราะไม่มีอะไรกินแล้ว)

ก็เลย เอาซะให้เต็มเหนี่ยว


up ไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมาเขียนนะ
















วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หิมะตกอีกแล้ว

นั่งทำงานอยู่ช่วงบ่าย ๆ อ้อ m มาบอกว่าที่ลอนดอนหิมะตก
เอ้อ brighton ยังไม่มีวี่แววเลยแฮะ ท้องฟ้ายังโปร่ง แดดส่องอีกต่างหาก

ซักชั่วโมง สองชั่วโมงแหละ ตกซะงั้น ไอ้ฟ้าสีฟ้า ๆ ตะกี้ หายสิ้น
เหลือแต่เมฆขาว ๆ ทึม ๆ เต็มไปหมด

ปุย ๆ ตกมากันเห็น ๆ ฟุ้งไปหมดเลย

ตอนอยู่บ้านป้า ไม่ทันได้เห็นตอนตก จะ ๆ แบบนี้ แปลกตาดีแฮะ
ว่าแล้วก็คว้า webcam ที่เกาะอยู่ขอบ monitor เอาไปส่องเก็บเป็น video มาให้ดูกัน
ทีแรกส่องผ่านกระจกมันไม่ค่อยชัด ก็เลย แง้มหน้าต่าง แล้วเอากล้องลอด
ออกไปส่องข้างนอกเลย (เย็นมือ)




นั่งทำงานไปเรื่อย ๆ จนค่ำมืดละ (ประเทศนี้มืดตั้งแต่สี่โมง)
เหลือบตาไปมองข้างนอก เอ้า ขาวโพลน ยังไม่หยุดตกอีก
ค่อนข้างเยอะกว่าตอนอยู่บ้านป้านะ

ว่าแล้วก็หิ้วกล้องออกไปถ่ายเหมือนเคย


ก็แถวศรีสำโรงมันไม่มีตกนี่หว่า มีแต่ขี้ฝุ่นกะลูกรังแดง ๆ
จะไม่ออกไปสัมผัสซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงอังกฤษ
(เหมือนถ้าไม่ได้กินถั่วทอดครูสายหยุด หรือหมี่กรอบโกวลอ ก็มาไม่ถึงสุโขทัย)

หิมะมันปลิว ๆ ฟุ้ง ๆ เป็นปุย ๆ นะ
โดนหน้าก็เย็น ๆ แว๊บ ๆ

อากาศมันก็จะไม่ได้เย็นเยือก ขนาดสั่นอย่างว่า
การที่หิมะตก ไม่ได้แปลว่าเป็นช่วงที่หนาวที่สุดจริง ๆ

หนาวกว่านี้เคยเจอ แต่หิมะก็ไม่ยักกะตก

คนที่นี่ก็กี๊ดก๊าด ๆ กันเป็นระยะ ๆ นะ
เป็นช่วงที่คนเริ่มกลับจากผับ กันแล้ว จะมีวัยรุ่นเดินมาเป็นกลุ่ม ๆ
เอาหิมะปาหัวกัน เอิ๊กอ๊าก ๆ


ยืนอยุ่ตรงประตูแฟลตนะ



มองไปข้างหน้าเห็นโบสถ์เซ็นปีเตอร์ ลาง ๆ หิมะมันตกหนักเอาเรื่อง
(click ดูรูปใหญ่ได้เน้อ)


เวลาถ่ายภาพกลางคืน ต้องเปิดแฟลตเอา เพราะไม่อยากได้หิมะเป็นเส้น ๆ
หรือฉากหลังเบอล ๆ
พอกดชัตเตอร์ ถ่ายไป แฟลต มันก็กระทบกะหิมะ ที่ปลิวผ่าน หน้ากล้องเต็ม ๆ
มันก็เลยเห็นเป็นดวงขาว ๆ ยังกะ จตุคาม รามเทพ ชุมนุม อะไรอย่างนั้นเลย



ทางเดินฝั่งตรงข้ามแฟลต ไม่ค่อยมีคนเดิน
หิมะยังฟู ๆ ไม่มีคนเหยียบมากนัก ไปเดินเตะ เดินจับ
นุ่ม ๆ มือดี




อยู่ ๆ ไปเริ่มกลัวกล้องเจ๊งแฮะ


หิมะมันโดนมือก็ละลายแล้ว สงสัยมือยังอุ่นอยู่ เพราะว่าเพิ่งออกมาจากห้อง
กล้องตอนนี้หิมะก็เกาะแล้ว มีหวังเอาเข้าห้อง หิมะละลาย กล้องเจ๊งพอดีกัน
กลับห้องดีกว่า


กลับมาเช็ดกล้องเอาตั้งหน้าฮีตเตอร์เลย หวังว่ามันจะไม่เป็นไรนะลูก
ซื้อมา ยังไม่ทันจะตั้งค่าอะไรเป็นเลย อย่าเพิ่งเสือกเจ๊งไปก่อนนะลูกนะ






วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

กับข้าวทำเอง มื้อแรกของฉัน

เก็บกดมาหนึ่งเดือนเต็ม
กับขนมปังชืด ๆ

กับอาหารจีนจืด ๆ มัน ๆ

กับอาหารร้านไทย แพง แต่ก็ยังไม่ได้อย่างใจ
ลุยเทสโก้มา ได้สามชั้น กะถั่วงอกมาอีกถุง
กะว่า จะล้างงงตา

เพราะว่ารอบแรก ป้าไม่ยอมให้ทำผัดถั่วงอกที่ครั้วแก


ช้านนนน จะกินผัดถั่วงอกให้ได้

มันไม่ง่ายเลยแฮะ เพราะต้องซื้อใหม่หมด

ตั้งแต่กระทะ มีด เขียง ตะหลิว จานชาม น้ำมันพืช

แบกมาเป็นไอ้บ้าหอบฟางเลย แถมยังแวะซื้อผ้านวมด้วยนะ

หนักมากกก
แต่แรงขับดัน มันทรงพลังนัก หนักแค่นี้ศรีทนได้

กลับมาถึงห้อง ด้วยสภาพเหมือนโดนลงแขกมา

อ่อนระโหยโรยแรง เพราะกินมาม่าไปกระปุกเดียวตั้งแต่เมื่อวาน
จัดการหั่นหมู ทุบกระเทียมอย่างบ้าคลั่ง

ใกล้จะได้กินแล้ว ๆ อาหารไทยแท้ ๆ แบบถูกปากถูกใจ

เราไม่ได้ต้องการอาหารที่มีโครงสร้างซับซ้อน หรือเลิศหรูแต่อย่างไร

เพียงแต่เราต้องการอาหารแบบรสมือแม่
แบบที่คนเค้าทำให้ลูกกิน หรือให้คนที่ตัวรักกิน

ไม่ใช่ทำให้คนอื่น ที่แค่เวียนมานั่งกินแล้วจากไป
ผัดกระเพราก็ขอแค่เนื้อ หรือหมู ไก่ กะกระเพรา และพริกขี้หนูพอ
ผักเผิก อย่างอื่นไม่ต้องมาใส่เพื่อลดการใช้เนื้อ


ต้มข่า ก็ขอแบบรสมัน เปรี้ยวเค็ม คม ๆ หอมข่า
ได้แบบ กลมกล่อมหลาวเปรี้ยว เลี่ยน ๆ
แล้วใส่สารพัดผัก โดยเฉพาะมะเขือเทศนี่ ก็ไม่เอา


สรุปอยากกินแบบที่แม่ทำ ถึงได้ต้องทำเอง
ไม่งั้นกินที่ไหน ก็ไม่ได้อย่างใจ


ผัดถั่วงอกนี่ก็เช่นกัน ขอแบบง่าย ๆ
ผัดกะน้ำปลา กระเทียมง่าย ๆ พอ
หมูติดมันนิด ๆ บางทีใช้สามชั้นเลยก็ได้
ไม่ต้องไปใส่เลือดหมู ให้มันดำ


ไม่ต้องใส่ผักอย่างอื่นให้รสมันเปลี่ยน
อย่างมากก็แค่ใส่เต้าหู้ไข่ทอดตรานางบาล พอ


แล้วน้ำลื่น ๆ อย่างน้ำแป้งมันนี่อย่าเชียวนะ
(อาหารจีนที่สั่งกิน มันใส่แทบจะทุกเมนู เลี่ยนน)
นั่นคือสิ่งที่อยากกกกกกกกกกกกกกก




หมูสามชั้นไม่แพงมาก มันน้อยยย เนื้อเยอะ

เลาะหนังมาเรียบร้อย กะถั่วงอกหน้าตาเหมือนของบ้านเราเด๊ะ


กระเทียมพร้อม น้ำปลาน้ำตาล น้ำมันพืช พร้อมมมมม



กระทะ ก็พร้อมมมม (จริง ๆ อยากได้กระทะไทยหรือ จีนมากกว่าอะ แบบนี้ไม่มันส์)


หุงข้าวรอเลย อ้ำกะผึ้งน้อย จำได้ป่าว หม้อใบจิ๋วนี้ ไปซื้อด้วยกันมา
ได้ออกโรงแล้วววว




หมูที่นี่ไม่มีหนัง ไก่ที่นี่ ถ้าเป็นอกไก่ก็หาหนังไม่ได้เช่นกัน
อยากกินหนังต้องซื้อทั้งตัว ไม่ก็น่อง ๆ โน่น
สำออยมากกกกกก ไก่ไม่มีหนัง มันต่างอะไรกะกินทิชชู่เนี่ยยย


ไม่กี่นาทีเอง ข้าวก็สุกแล้ว ก่องข้าวน้อย ๆ ของชั้น



ตักออกมารอไว้ก่อน เดี๋ยวเอาไข่ดาวโปะ
ภาพนี้จะเห็นขนาดของหม้อหุงข้าวใบน้อยได้ชัด





ไข่ดาวฟู ๆ นี่แหละ ที่อยากกินนนน อีกอย่าง
มีแมกกี้เตรียมรอไว้แล้วด้วยยย




หั่นหมูรอละ สามชั้นที่นี่ มันน้อยจัง ไม่ถูกใจชายชราเลย




อยากจับป้ามัดไว้ แล้วขังอยุ่ตรงครัวตอนนี้จัง
เกลียดกระเทียมมมนักใช่มั้ยยยยย ฮ่า ๆ ๆ ๆ




จะมีอะไรหอมไปกว่าน้ำปลา กะกระเทียม อยู่ในกระทะ ร้อน ๆ มีเสียงดังฉ่า ๆ อีก
หอมจนใช้แทนน้ำหอมได้




เสร็จแล้วววว ควันฉุย ๆ

เสียดายขาดเต้าหู้ไข่ตรานางบาลไปอย่าง
ไม่งั้นจะเหมือนของครูเพทายทำให้กินมาก ๆ




ขาดไม่ได้น้ำพริกดำครูเพทาย และน้ำพริกจากน้องยะทรูวิชชั่น
เป็นน้ำพริกแบบแห้ง ๆ พกมาจากไทยร่วมเดือนแล้ว คงไม่เน่ามั้ง รสยังดีอยู่
อากาศก็เย็น ๆ เอาน่าหยวน ๆ ต่อให้ขรี้แตกก็คุ้ม




อีตา Taz เจ้าของห้อง ยกโต๊ะมาให้ใช้เป็นโต๊ะคอม
ก็เลยเอาไว้ใช้กินข้าวด้วยเลย ใช้ได้ ๆ


นี่มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดในรอบสามสิบวัน ตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินเส็งเคร็งนี่เลย
รสมันไทย 100% เพราะว่าไม่มีอะไรที่แปลกไปจากที่เคยทำกิน

เบิ้ลสองจาน ซัดโฮก ข้าวหมดหม้อในเวลาไม่ถึงสิบนาที


นี่ซิชีวิต



ความสุขในชีวิตที่ขาดหายไปร่วมเดือน มันกลับมาแล้ว
เหมือนวิ่งอยู่ในอุโมงค์มืด แล้วพบแสงสว่างอยู่ที่ปลายทาง


อร่อยยยยยยยยยยย



กินเสร็จน้ำหนักน่าจะกลับมาเท่าสมัยก่อนขึ้นเครื่อง เพราะพุงตึงเป๊ะ เหมือนเดิม
เพราะมานี่น้ำหนักลดฮวบ จาก 74 เหลือ 67-68 ในเวลาประมาณ 20 วัน

จริง ๆ ถ้าใครอยากลดน้ำหนักได้ 5-8 กิโล ได้ในหนึ่งเดือน
โดยไม่้ต้องโยกแอ๊บโดฯ ไม่ต้องเข้าฟิตเนสต์ ไปเสี่ยงให้โดนครูฝึกลวนลาม

แนะนำให้ลองมาอาศัยอยุ่กับ ป้า กินขนมปังมื้อเช้า และอาหารจีนอาหารแขกช่วงเย็น
แล้วนอนตรอมใจช่วงดึกซักหน่อย รับรอง เห็นผลใน 30 วัน



เริ่มสัมผัสได้ถึงชีวิตช่วงขาขึ้นนนน



นั่งกินเสร็จ ล้างจาน ก๊องแก๊ง ๆ


เอ ไม่มีใครมาบังคับให้กินขนมปังตอนเช้าแล้วซินะ

ไม่มีน้ำส้ม น้ำตะขบ ให้กินตอนเช้าแล้ว


ต้องหากินเองแล้วนี่นา แล้วจะกินอะไรเข้าไปล่ะ
ไม่มีพวกอาหารเช้าฝรั่งติดตู้เลย


ฮ่า ๆ ทำซิ เรื่องไรต้องไปง้ออาหารฝรั่งบัดซบพวกนั้นนน


มีหมูสามชั้น มีไข่ และผง โลโบ กู้ชาติ จำนวนมาก


ใช่แล้ว !!!



พะโล้ววววว




ยิ้ววววว



กระทะยังไม่ทันเย็น ต่อเมนูต่อปายยยยยยยยย




ผงโลโบ้ กู้ชาติ (โลโก้มันเหลือง ๆ) เท่าที่ำำพกมา
มีพะโล้, ต้มยำ, หมูแดง และผัดกระเพรา




ทำกินแค่ชามเดียวพอ ใช้ผงไม่เยอะ
อ่านหลังซองดูเค้าใช้ซีอิ๊วดำ, รากผักชีด้วย
เสียใจนิด ๆ ว่าต้องมาทำเมนูที่เครื่องไม่ครบตั้งแต่เมนูที่สองเลยหรอเนี่ย
ไม่เป็นไรไม่ใช่เครื่องปรุงหลัก ทำ ๆ ๆ




ต้มไข่สามฟองพอ





เอาผงมาคลุกหมูไว้ ไม่รู้ใส่เยอะไปมั้ย แต่ใส่ไปละ




ไข่ฝรั่ง ใครว่าใหญ่
ไม่จริงนะฮะ พอ ๆ กะไข่คนไทย เอ้ย ไข่ไก่ไทย นี่แหละ




เสร็จแล้ววววววววววววววววววววววววว


รสใช้ได้ พอจะเรียกได้ว่าพะโล้ล่ะ ขอบคุณโลโบกู้ชาติ


ตั้งไว้ให้เย็นแล้วเอาเข้าตู้เย็นไว้อุ่นกินตอนเช้า ยิ้วววววว


มีความสุขขขขข






วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

วันย้ายบ้าน...วันพ้นจากอกป้า...วันวิปโยค

แผนตอนแรก จะอยู่บ้านป้าแค่สองอาทิตย์ แต่ทำไปทำมา

อยู่ไปร่วมเดือน !!!

เหตุเพราะ หาห้องใหม่ตามที่ต้องการไม่ได้ซักที
ไม่ใช่ว่าห้องมันไม่ค่อยมีนะ มีเยอะมาก แต่ว่าส่วนนึงเป็นบ้านนักเรียน
ที่แชร์ห้องน้ำแชร์ครัว และห้องนั่งเล่น

ซึ่งเคยลิ้มรสตอนอยุ่ Student House สามวันแรกที่เหยียบแผ่นดินนี้มาแล้ว
ขอไม่เอาอีกเด็ดขาดดดด

งานนี้โดนกดดันโดยอ้อมันไม่น้อย ที่อยากจะให้เราอยู่กับฝรั่ง เพื่อที่ภาษาจะพัฒนาเร็ว ๆ

เห็นด้วยในแนวคิดเต็มที่เลย แต่ว่าทำไม่ได้จริง ๆ

ทำไม่ได้

จริง ๆ


มีหลายปัจจัยที่อยุ่แบบนั้นไม่ได้ นอกจากจะเป็นคนชอบอยู่คนเดียวแล้ว
แต่ยังเป็นคนชอบทำกับข้าว และตอนนี้กำลังจะเป็นโรคขาดปลาร้า ในเส้นเลือดตายอยู่แล้ว

ขืนไปอยู่บ้านรวมใช้ครัวรวม ถ้าอยากจะทำน้ำพริกปลาร้า หรืออยากตำน้ำพริกกะปิขึ้นมา
แล้วทำไม่ได้ เหมือนสมัยอยู่กะป้าอีก


"กลับไทยทันที !!! แน่นอน !!!"


อีกอย่างที่ห่วงมาก ๆ คือเราต้องทำงานกะคอม หนักมาก
ขืนต้องอยู่กะพวกนั้น มีหวังไม่ได้ทำมาหากินกันพอดี
ส่งงานไม่ทัน โดนปรับตรูดบาน


มันก็เลยมาลงที่ พยายามหาห้องสตูดิโอ หลืบ นี่แหละ
แล้วไปหาวิธี พัฒนาภาษาทางอื่นเอา หรือถ้ามันจะพัฒนาช้า
ก็ช่างแม่ง ดีกว่าต้องไปทนกะเด็กเปรตบ้าปาร์ตี้เยอะ


ความช้ำตรมของกระเหรี่ยงไทยใน UK อีกอย่าง เวลาหาห้องหับอยู่เองอีกเรื่อง

คือ ต่อให้มีเงินมีปัญญาจ่ายค่าเช่าสูง ๆ เพื่อให้ได้ห้องสวย ๆ ดี ๆ นะ

ก็ไม่อาจจะได้ห้องนั้นอย่างใจเสมอไป


ห้องสวย ๆ ดี ๆ มันอยู่กะ agency หมด เวลาเราติดต่อไปขอดูขอเช่า

พอมันเห็นภาษาเราแย่หน่อย มันก็จะรู้ว่าเราเป็นนักเรียนกระเหรี่ยงข้ามชาติ

มันก็จะบอกว่า ห้องมีคนเช่าไปละ

ยันนนน


หรือไม่ก็ มันจะขอ Reference โดยหาคนค้ำที่เป็นคนอังกฤษมาค้ำให้ได้
นักเรียนกระเหรี่ยง อะโลน อย่างเราหมดสิทธิ ไม่มีใครเค้าอยากมาค้ำให้แน่นอน

ก็อด

หรือจะมีอีกทาง จ่ายล่วงหน้าเลย หกเดือนรวด มันจะยอม


แมร่งหกเดือน จะเป็นแสนเอา


ทางออกที่เหลือก็คือ ไปหาเช่าจากคนที่มาปล่อยห้องรายย่อย
ซึ่งจะไม่ซีเรียสมากเรื่อง Reference เอา ซึ่งสภาพห้องก็แล้วแต่ดวง


ตอนนี้หารูหนูที่พอจะตรงความต้องการได้แล้ว ราคาปริ่ม ๆ พอรับได้
แต่ดีตรง ค่าน้ำค่าไฟ แก๊ซ มันรวมอยุ่ในค่าเช่าหมดแล้ว (ยกเว้น net)

ก็เลยเอาวะ อยู่ก็อยู่ ไม่งั้นทำไปทำมา จะได้อยู่กะป้า จนวีซ่าหมดเอาซะก่อน



ก่อนพรากจากอกป้ามา ได้เอาของที่ระลึกจากไทย เอามาให้ป้าด้วย
ไปเดินหาซื้อมาจากแถว ๆ อัมรินทร์พลาซ่า หลังจากกลับจากทัวร์รำแก้บนรอบเมืองมา



ช้างน้อยที่เตรียม พกมาจากไทย เตรียมเอาไว้ให้ host family ที่แสนดี
แต่ถ้าดันได้ host เลว ก็จะเอาไว้ปาหัวแทน (เรซิ่นมันหนักดี)


เดินไปหยิบมาให้ป้าช่วงรอ taxi มารับไปบ้านใหม่

พอป้าแกเห็นเข้า แกร้องเหมือนโดนข้าวสารเสกเลย

แกทำท่าชอบของฝากนี่มาก แต่จริง ๆ ก็อินอะไรกะ action แกมากไม่ได้ด้วย
เพราะแกชอบทำตัวสนใส อารมณ์ดีตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็นเวลาที่ยืนขวางครัวแก
ไม่ยอมให้เราทำกับข้าวก็ตาม

แกบอกว่าแกจะเอาไปอวดลูกสาวด้วย และจะเอาวางตรงแถว ๆ หน้าทีวี

แกบอกว่า นี่วันที่ตรงนี้แกต้องตั้งเองทุกวันซิเนี่ย


เราก็คิดในใจ...

"เออออน่า บ้านไอมันด้อยพัฒนาไม่มีแบบอัตโนมัติ ก็ขยัน ๆ มาตั้งเองทุกวันละกัน
ขยันให้เหมือนมาแอบดูเราทำกับข้าวในครัวก็ได้ เห็นขยันจังงง"



ป้าก็ถามสวนมาทันทีว่า เธอมีช้างของตัวเองที่กรุงเทพมั้ยยย


นั่นนนนน เล่นกูล๊ะ


ไม่มีป๊าาาา บ้านผมมีรถเมล์เหมือนบ้านป้านี่แหละ แถมขับมันส์ เดนตาย กว่าบ้านป้าเยอะด้วย
ไม่ได้ขี่ช้างไปเที่ยวไปทำงานเน้อออ


ป้าแกมุขไปงั้น หรือจริง ๆ แล้วแกรู้ว่าเราประชดแกในใจเรื่องบ้านเรามันด้อยพัฒนาฟะ



แกหลอกด่าหรือเปล่าไม่รู้ แต่แกก็ทำท่ามาขอกอด


เราก็ตีสีหน้าเด็กนักเรียนต่างชาติแสนดี กอดป้าแกกลับแบบหลวม ๆ


เหมือนจะปลื้มเลย



ป้าแกบอกว่าแวะมาได้นะ มาแวะกินชากันก็ได้



ชากะหนมปังชืด ๆ ที่ป้าบังคับให้กินทุกเช้าเนี่ยยยยยนะ !!!


ลาล่ะครับป้า รถมาพอดี

แกก็เดินมาส่ง (แต่ไม่ช่วยยกของ)

ก็สร้างภาพนักเรียนต่างชาติแสนดี กอดลาป้าตามประเพณีนิยมหลวง ๆ อีกครั้ง
เผื่อจะเป็นความประทับใจ ที่เอาไว้หลอกเล่าให้ลูกให้หลานฟังได้โดยไม่เคอะเขิน




นั่ง taxi ไปฝนก็ตกไปเรื่อย ๆ กว่าจะถึงล่อไป 12 ปอนด์ น้ำตาริน

ถึงจุดหมาย พี่คนขับ taxi ก็ช่วยขนของลงวางไว้ข้างถนนให้
วาง ๆๆ แล้วมันก้จากไป

กระเป๋าใบยักษ์ 1
เป้อวบ ๆ 2
กล่อง case คอม 1
กล่อง monitor 1
กล่อง printer ใหญ่ ๆ 1
ถุงใส่น้ำปลาตราปลาหมึก และของเล็ก ๆ น้อย ๆ 1


อย่างงงเยอะ


กองอยู่ข้างถนน ฝนก็ตกพรำ ๆ


ต้องยกของพวกนี้เอาไปวางไว้หน้าบ้านอีก

ก็เลยต้องรีบยกแล้ววิ่งไปหน้าบ้านห่างไปซัก 30 เมตร

กำลังเทียววิ่งลาก วิ่งแบกอยู่คนเดียว ก็มีฝรั่งเดินผ่านมาคนนึง


หล่อมาเชียวนะมึง


เดินผ่านมา แล้วถามว่า ให้ช่วยมั้ย



โอวววว พ่อหนุ่ม หน้าตาดี น้ำใจประเสริฐ ขอบคุณณณณณ


วินาทีนั้นแบกเหนื่อยมาก และทึ่งมาก ที่ฝรั่งน้ำใจงาม
งามกว่าคนไทยอีก มั่นใจเลยว่า ใน กทม ไม่มีทางเจอคนมาช่วยแบบนี้


แต่แว๊บนึงก็ฉุกคิดว่า เฮ้ย มันแบกมาแล้ววิ่งยาวไปเลยทำไงวะ

หันไปมองตานั่น เค้าก็ยกมาวางให้ถึงที่ ไม่วิ่งแฮะ


นี่หรือใจของคนไทย สยามเมืองยิ้ม น้ำใจงาม ทำไมคิดงี้ฟะ



ขอบคุณฝรั่งแทบอยากจะกราบ น้ำใจประเสริฐแท้

นี่ถ้าเป็นหญิงคงตบรางวัลหิ้วขึ้นห้องไปปล้ำแล้ว


มาถึงห้องเจอเจ้าของห้องเป็นแขก (ประเทศแขกก็เงี้ย)
แต่คนนี้แขกวัยรุ่น IT ใช้ iPhone ด้วย คุยดี เข้าใจหัวอกกระเหรี่ยงอย่างเราเป็นอย่างดี


พี่แกบอกว่า เออ มีสองเรื่องใหญ่ ๆ ที่ไม่เรียบร้อยนะ





1. น้ำฝักบังไม่ไหล แต่จะมาซ่อมให้เย็นพรุ่งนี้

อ้าวสัส ไมพี่พูด งั้นล่ะครับ แล้วกูจะเอาไรอาบ


2. ฮีตเตอร์ยังติดตั้งให้ไม่ได้ เพราะมีปัญหากะอาคาร
ต้องรอภายในอาทิตย์หน้าให้อาคารปรับปรุงเสร็จก่อน ถึงจะทำได้

เช็ดดดดด
เห็นกรูอ้วน ๆ ใส่เสื้อดำ แต่กรูเป็นคนนะไม่ใช่เพนกวิ้น
จะให้อยู่ห้องในประเทศเส็งเคร็งนี่โดยไม่มีฮีตเตอร์เนี่ยนะ


พี่แกเตรียมฮีตเตอร์สำรองตัวเล็กเสียบปลั๊กมาให้
แล้วบอกว่าใช้ชั่วคราวไปก่อนนะ อย่าเสือกมาหนาวตายห้องกรูล่ะ (อันหลังนี่เติมเอง)


พอทน


แต่ว่าอาบน้ำนี่ซิ ทำไรไม่ได้จริง ๆ ต้องออกไปหาซื้อถังน้ำซะละมั้ง เอาไว้ตักอาบ
เพราะน้ำจากก๊อกอื่นมันก้ยังใช้ได้อยู่


ok เอาไงก็ได้ กรูไม่มีทางเลือกนี๊ จะให้ซมซานกลับไปหาป้า
ให้ป้าแกฮาเร๊อะไม่มีทาง


ไม่อาบน้ำแค่นี้ ชำนาญญญญญ



พอคุยเสร็จจ่ายตังเรียบร้อย เราก็วางแผนจะออกไปหาซื้อหมอนกะผ้าห่มมาใช้
เพราะว่าเค้ามีให้แต่เตียงกะฟูก (ดีที่มีฟูกมาให้แล้ว)


เราก็เดินออกไปข้างนอก หาเวชภัณฑ์และเครื่องยังชีพ ปรากฏว่า

ร้านแม่งปิดกันเหี้ยนนนน


ล้อเล่นป่าวห้าโมงกว่าเองนะ ไม่คิดจะทำมาหากินกันหรือไง

นี่กำลังซื้อจากประเทศโลกที่สามมาแล้ว


เปิดซิเปิดดดด



เงียบบบ



เวร




อีประเทศเส็งเคร็งนี่ มันปิดร้านกันตั้งแต่ห้าโมงในวันอาทิตย์

นี่มันไม่คิดว่าจะมีใครอยากได้ผ้าห่ม ในคืนวันอาทิตย์บ้างเลยหรือไง


ซวยยยย แล้วคืนนี้จะนอนยังไง


กลับมาลองอัดเสื้อกันหนาวดู

ลากฮีตเตอร์น้อย ที่ปล่อยไอร้อนที่ร้อนกว่าไอตด หน่อยนึงมาข้าง ๆ เตียง

ลองนอนดู


มันก็พอไหวนะ แต่การนอน โดยไม่มีผ้าห่มนี่

มันโหดร้ายอะ


ชีวิตกรู



คิดถึงผ้าห่มป้าอะ มีให้สามผืนใหญ่ ๆ หนาเป็นฟุต


ป้าครับ ผมผิดไปแล้วครับ....



เดินเซ็ง ผ่านร้านบางร้านที่ยังเปิดอยู่ ซึ่งจะเป็นร้านขายของกินซะมากกว่า

เลยแวะเข้าไปหามื้อเย็นกินซะหน่อย

คราวนี้มีเตาอบแล้ว จะหาอะไรไปอุ่นกินซะหน่อย

เพราะที่นี่อาหารแช่เย็นหลาย ๆ อย่าง เค้าจะให้เอามาอุ่น หรือทำให้สุกในเตาอบมากกว่า
ไมโครเวฟ ซึ่งเราไม่มีโอกาสได้กินของเหล่านั้นมาก่อนเลย เพราะป้าให้ใช้แต่ไมโครเวฟ


ตรูจะซัดไก่ซักตัวววววว
หุงข้าว ทำไข่ต้มกินกะน้ำพริกด้วย


หยิบไก่ขึ้นมา เอ๊ะ


ไม่มีจาน


แล้วจะทำยังไง
จะกินยังไงนะ


จบ



นี่มันสงครามชีวิตโอชินหรือยังไงกัน

จะต้องไปหาหัวไชเท้าต้มกินแล้วหรือ


กลับห้อง

ต้มมาม่ากระป๋องกิน จบ


อาหารดี ๆ อยุ่ตรงหน้า แต่ไม่มีปัญญาจะกินได้เพราะไม่มีจาน


เฮ่อออออ


รูหนูของฉัน...สังเกตว่า เตียงเดี่ยววาง เข้าไปก็เกือบครึ่งห้องแล้ว

ครัววววของฉันนนนน เสร็จแน่ ๆ เสร็จแน่ ๆ

รอไปหาซื้อจานชามหม้อกระทะก่อนเหอะ โดนนนนนนนน


ได้เตามาแบบเป็นหัวแก๊ซด้วยแหละ ทำกับข้าวไทยได้มันส์แน่นอล
(ของบ้านป้าเป็นแบบแผ่นดำ ๆ แบน ๆ นอกจากจะเจียวไข่ไม่ฟูแล้ว ยังจะต้องคอยระแวง
ไม่กล้ากระแทกให้มันแตกอีก)

ฮีเตอร์ชั่วคราวแบบเสียบปลั๊ก

ไอร้อนมันร้อนกว่าตด นิดเดียว ถ้าคืนนี้มันไม่ช่วยให้อุ่นได้

จะยกขึ้นเตียง

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

เริ่มเรียนวันแรก หิมะตกรับขวัญ (ทะลึ่งมาตกอะไรวันนี้)

วันนี้ (5 มกรา 2009) เป็นวันที่เริ่มเรียนวันแรก
ต้องตื่นเช้ากว่าปกติหน่อย เพราะว่า ต้องเข้าไปสอบวัดภูมิปัญญา ก่อนเข้าเรียนด้วย

ตื่นมา มองไปทางหน้าต่างก็ต๊กกะใจ ขาวววไปหมดเลย

แต่ในห้องยังอุ่นดีอยู่แฮะ สงสัยป้าแก เร่งฮีตเตอร์ให้





แต่ได้ยินมาว่า วันที่หิมะตกไปแล้วนี่มันก็จะไม่ได้หนาวมากเป็นพิเศษหรอกนะ แต่ยังไงก็ตาม พอเดินออกไปนอกบ้าน มันก็หนาวอยู่ดี แต่ยังไงก็ยังเคยเจอวันที่หนาวกว่านี้ แต่หิมะไม่ตกนะ ตรงชายหาด brighton เลย
ลมพักโครม ๆ หนาวจนหน้าชา

แต่ตกวันนี้ใช่ว่าจะดี น่าปลื้มใจ
ป้ามาบอกว่า ต้องรีบกินรีบออกให้เร็วกว่าเดิมนะ ต้องออกให้ได้ใน 15 นาทีนี้เลย
เพราะรถเมล์จะขับช้าลง เดี๋ยวสาย

ซวยเด่ะ แล้วทำไมต้องมาตก ให้ต้องรีบออกวันแรกของการเรียนด้วยเนี่ย
ต้องรีบยัดอาหารเช้า ที่เดิมกระเดือกไม่ค่อยจะลง เข้าปากให้หมดในสิบนาที
มันขมขื่นมาก ๆ (แถมท้ายด้วยน้ำแอปเปิ้ล+มะม่วงอีก ถึงคอหอย)



เปิดประตูบ้าน ขาวโพลน เย็นเยือก





เดินออกมา หันกลับไปดูหน้าบ้าน เห็นรอยเท้าตัวเองเป็นทาง
อารมณ์เหมือน รอยเท้าโจรแอบเข้าบ้านเลย




เกิดมาเพิ่งเคยเห็นหิมะกะตานี่แหละ แปลก ๆ ดี
โดยเฉพาะเวลาเหยียบลงไป มันจะมีเสียง อ่อด ๆ แอ่ด ๆ เหมือนเราเอามือบี้แปังมัน เล่นเลย
ลองหยิบมาดูใกล้ ๆ มันจะเป็นปุย ๆ เบา ๆ เล็ก ๆ เกาะกันหลวม ๆ
ไม่ได้เป็นเกล็ด ลิ่ม ๆ แบบในช่องแข็ง




อันนี้ถ่าย แถว ๆ ทางที่เดินไปป้ายรถเมล์ที่ต้องขึ้นนะ


พอนั่งไปถึงที่ ก็หลงป้ายรถเมล์อีกเช่นเคย ลงไม่ถูกป้าย ลงไม่ถูกแล้ว งง อีกต่างหาก จริง ๆ จะต้องต่ออีกสาย ไปอีกสองป้าย
แต่หาป้ายขึ้นไม่เจอละ วิ่งดีกว่า

มาถึงก็มานั่งทำข้อสอบวัดระดับภูมิ เพื่อเลือกชั้นเรียนให้เหมาะกับระดับสติปัญญาด้านภาษา

อีตอนทดลองทำในเวป ประเมิณออกมาได้เป็น pre-intermedate (เกือบจะปานกลาง หนักไปทาง 'อ่อน')
แต่วันนี้ได้เรียนในระดับ Intermediate ลองนั่งดูในตาราง ระดับอื่นเท่าที่เห็นก็มี (Elementary, Pre-Intermediate, Intermediate, Upper-Intermediate แล้วก็ Advance)

ซวย ดันทำข้อสอบรอบนี้ได้ดีกว่า ที่ทำในเวป ก็ต้องไปนั่งเรียนกะพวก พูดรู้เรื่องแล้วอะดิ

เท่าที่คุยมา ฝรั่งเศษพื้นฐานดีกันทุกคน พูดกันได้เจื้อยแจ้ว
ในขณะที่เจอบราซิล อ่อน คนนึง ค่อนข้างดีคนนึง กะ เกาหลี ง่อยพอ ๆ กัน

เรียนที่นี่ยังไม่เจอคนไทยเลย รอบนี้ เจอเกาหลีอยู่คนเดียว แต่เห็นเกาหลีหรือญี่ปุ่น ไม่รู้เดินอยู่คลาสอื่น อยู่คนสองคน

เรียนวันแรกไม่มีอะไรมาก เค้าก็แนะนำโรงเรียน แล้วก็พาเดินบริเวณรอบ ๆ โรงเรียน โต้ลมหนาวเล่นกันซะงั้น

ประเทศโซนร้อน อย่างซาอุ บราซิล ไทย ครวญกันตลอดทาง


กลับมาก็ได้เรียนต่ออีกแค่ครึ่งชั่วโมง เป็นสนทนา ก็ไม่วายแนะนำตัวไป
จริง ๆ เตรียมบทแนะนำตัวไว้ในใจ เกี่ยวกะเรื่องโดนปิดสนามบินไว้แล้วด้วยนะ
แต่ไม่ทันได้เล่า เวลาไม่พอ (แกให้คนละ 1 นาที)



จริง ๆ แล้วยังทำใจไม่ได้เลย ว่าจะต้องมานั่งเรียนงี้ไปอีกหกเดือนงั้นหรือ บ้าป่าว

มาเรียน จ-ศ เก้าโมงถึงบ่ายโมงกว่าไปหกเดือน

ไอ้อารมณ์แบบนี้ มันเหือดหายไปจากความคิดนานแล้ว ร่วมสิบปี

ไอ้ประมาณว่าต้องตื่นไปเรียน อีกกี่วัน ๆ ถึงจะเรียนจบ หรือได้ปิดเทอม

พอเรียนจบ เริ่มทำงาน มันก็เลิกนับไปแล้ว เพราะต้องทำทุกวันไปเรื่อยๆ ไม่มีครบกำหนดแล้วเลิกทำ


พอต้องมานั่งนับหกเดือน ตาย ๆ ๆ ๆ จะเฝ้าไปเรียนอะไรได้นาน ๆ ขนาดนั้นเนี่ย



อยากกลับบ้านแล้วอะ




วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

วันสิ้นปีของชั้น

วันนี้นั่งรถเมล์เป็นแล้ว ซื้อตั๋วอาทิตย์มา

(ซื้อมาจากร้านแขก แล้วโดนแขกหลอกขาย แพงกว่าราคาใน net สามปอนด์...
แขกเลววว เป็นแขก แล้วยังมาหลอกกระเหรี่ยงด้วยกันอีก)


เลยนั่งได้ไม่ต้องระแวง จะนั่งแค่ไหนก็นั่งได้ อยากจะหลง ก็ให้มันหลงไป ยังไงกรูรอดแน่

ก็เลยกะว่าจะนั่งไปแถว ๆ ท่าเรือ brighton กะว่าจะมีแสงสีเสียงหรืออะไรให้ถ่ายรูปเล่นบ้าง


เปล๊าา



ไม่มีอะไรเลย มีแค่ต้นจิงกาเบว ต้นนึง ไฟว๊อบแว๊บ ๆ จบ...

ส่วนมากคนเค้าจะเข้าบาร์เข้าผับ กันซะทั้งนั้นเลย
วันนี้จะเห็นกลุ่มวัยรุ่น จับกลุ่มเดินเมากันเยอะ
แล้วก็จะมีเสียงโหวกเหวก โวยวาย ดังลั่นมาเป็นระยะ ๆ

ซึ่งส่วนมากเป็นมันเล่นกันเองเสียงดัง แต่ก็ไม่ชอบเลยอะบรรยากาศงี้
ก็เลยเดิน ๆ ไปเดิน ๆ มาแป๊บนึงกลับดีกว่า ก่อนกลับ
ก็จะหา tesco ซื้อข้าวสารกลับบ้าน

เอาไปหุงกินกะไข่ต้ม แล้วก็น้ำพริกที่หิ้วมาจากไทย

กว่าจะหา tesco เจอ เดินย้อนไปย้อนมา หลงทาง (ขนาดมี gps)
หนาวก็หนาว หน้าเหน้อ เย็น จนปวดชา ไปหมด


ผ่านไปร่วมสิบนาที ก็มาถึงหน้า tesco....


ปรากฏว่าแม่งปิด



คริคริคริ



แมร่ง


กลับบ้าน...



กลับด้วยอาการสงบ และหิวข้าว

นี่ตรูต้องกลับไปกินมาม่าหรือนี่ตรูอยากกินข้าว...

ก็ขึ้นรถเมล์ กลับบ้านด้วยอาการเซื่องซึม เพราะหิวข้าวหมดแรง


แต่ปรากฏว่า...


อยู่ดี ๆ รถวิ่งมาได้ป้ายนึง มันก็จอด และดับเครื่อง

แล้วก็มีเสียงวัยรุ่นโวยวายเสียงดังเป็นสิบคน อยู่ชั้นบน (รถสองชั้น)


ฟัก เฟิ๊ก บี๊ชชช อะไรก็ไม่รู้ดังลั่นไปหมด



แล้วมันก็ลงมาคุยกะคนขับกัน ถือขวดเหล้าขวดเบียร์ลงมาด้วย


อายุมันก็คงสิบห้าสิบหกกัน


บ้านเราคงเรียกว่าเกรียน


มันลงมาถามคนขับเลย


"จอดทำไม"


ไอ้เราก็กลัว พวกมันเยอะมากมันเดินลงมาจะไปรุมคนขับ
ยืนด่ากัน วิ่งขึ้นวิ่งลงชั้นสองเรียกเพื่อนลงมาบางคนมีสติหน่อย

ก็พยายามห้าม แต่ส่วนมาก มันจะเล่นงานคนขับ

คนขับก็ตัวใหญ่ และท่าจะไม่กลัวมัน
และคงจะเจตนาจอดเพื่อไล่มันลงให้หมด
มีผู้ชายฝรั่งตัวใหญ่อีกคนเป็นผู้โดยสาร

เห็นท่าไม่ดีก็ลุกไปจะช่วยคนขับ

ไปยืนห้ามเด็กพวกนั้น (ใจกล้ามาก)

เห็นไอ้เด็กคนนึงทำหน้ามึน ๆ ยกมือประมาณ ใจเย็น ๆ
แล้วก็หันหน้ามาพูดใส่หน้าว่า


ถอยไป๊!!!


แม่งเถื่อนอะ

อีกลูกพี่ตัวใหญ่ ก็ถอยกลับมานั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม


ซักพัก มันคุยไรกันก็ไม่รู้

มันก็ลงป้ายไปกันไม่รู้หมดมั้ยคนขับก็ปิดประตูแล้วออกรถ

เนื่องด้วย เราเองมันก็ เป็นเด็กช่างเก่า

เจออารมณ์แบบนี้ไฟมันครุกรุ่นนั่งนิ่ง ๆ ดูท่าทีพวกมันมาพักละ
ไม่รู้ลงป้ายหมดมั้ยยังเหลือชั้นบนอยู่หรือเปล่าไม่รู้
เพราะยังได้ยินเสียงโวยวายแว่ว ๆ


พอรถจอดอีกป้าย เลยรีบวิ่งกระโดดลงเลย


กลัวตาย...



ระหว่างที่ลงป้าย ก็ต้องรอรถหมายเลขเดิมมาอีก
ก็เลยเดินเล่นอยู่แถวนั้นปรากฏว่าเจอร้านอาหารจีน


โอวววววว....


"เทคอะเวย์"


ไปได้แกงเขียวหวานไก่ กะข้าวผัดไข่เซทนึงกะ
ผัดผักรวม ใส่ไก่กุ้งหมู อีกกล่อง


รอดตายแล้วชั้น


เดินยิ้มพริ้มมมม ออกมา นี่ถ้าไม่ได้เด็กพวกนั้นคงไม่ได้เจอร้านอาหารจีนเป็นแน่

ต้องกลับไปต้มมาม่ากิน ชีวิตอนาถอีกมื้อ

ยืนรออีกแป๊บขึ้นรถเมล์ได้ ก็นั่งลุ้น ดู gps ตลอดทางอย่างไม่อาย

เพราะว่าเป็นการนั่งรถเมล์กลับบ้านครั้งแรก
(วันนี้เพิ่งเคยนั่งรถเมล์ใน brighton)กลัวจะลงไม่ถูก

พอเห็นระยะใกล้แล้วมั้งก็ลุกไปจะเดินลง พอดีมีคนกดดริ่งแล้วด้วย

ไอ้เราอยู่ชั้นบนเดินลงมาจ๊ะเอ๋ กะผู้หญิงสาวฝรั่งข้างล่างที่กำลังเดินไป

ประตูทางออกเหมือนกันเราก็หยุด ให้เธอเดินไปก่อน

เธอก็หยุดเหมือนกัน แล้วก็ให้ทางเราแล้วพูดว่า


"เลดี้เฟริ๊ททท"



อีเปรตตต



กรูผุ้ชายยย



มันเมามา เดินลงมาเสร็จก็กรี๊ดกร๊าด ๆ กะผัวมัน
อะไรของมันก็ไม่รู้อยู่ตรงป้ายรถเมล์

บรรยากาศวันสิ้นปี นี่มันช่างบัดซบสิ้นดีหาอะไรจรรโลงมิได้เลย

ขนาดข้ามน้ำข้ามทะเลมาดู มั๊นนน ก็ยังเจอแต่เรื่องเสื่อม ๆ ไม่รู้ทำไม


ทอดถอนใจ เฮือกใหญ่...


พอกลับบ้านมา เปิดกล่องข้าว


ความสุขอย่างเดียวที่ใช้ตังค์ซื้อได้ของชั้น


กินแกงเขียวหวานไก่หยิบน้ำปลาตราปลาหมึกมาวางตั้งข้าง ๆ พร้อม

เหยาะน้ำปลานำร่องลงไปเลย เพราะรู้ว่ามันรสอ่อน

เอาช้อนตักไก่ในแกง และผักสารพัด ราดข้าว
แล้วตักข้าวคำโต ที่ชุ่มด้วยน้ำแกง และไก่เข้าปากเต็มๆ


ชิ๊ททททททททททท


ไก่ปลอม !!!!


นี่มันอาหารเจ!!!



ถูกเจ๊ก หลอกกกกกกกก !!!



ยังเหลือชาติใดอีก ที่ยังไม่หลอกตรูเนี่ยยยย



หรือว่าเราอ่านเมนูไม่ออกเองนะ

เพราะเราก็ ไปชี้ ๆ เอา


ไม่โวยวายดีกว่า เดี๋ยวจะเข้าตัว...



เลยกิน ๆ ไปเงียบ ๆ เซ็ง ๆ

นี่ถ้าไม่มีน้ำปลาตราปลาหมึกนี่ มื้อนี้คงมีแต่โปรตีนปลอม ทั้งมื้อแน่ ๆ



เฮ่อออออ


แฮปปี้นิวเยียร์...

บ้านป้าออเดรย์

พาเที่ยวบ
มุมนี้ ก็หน้าบ้านเลย เดินเข้าบ้านเปิดประตูมาก็จะเจอมุมนี้
ทางซ้ายมือคือบันไดขึ้นชั้นสอง เป็นห้องนอน




คุณป้าออเดรย์ (แกออกเสียงชื่อแกให้ฟัง จะออกว่า โออวงง เดรย์มากกว่านะ)


อันนี้อยู่ข้างครัว เป็นที่กินข้าว มองเห็นสวนหลังบ้าน
จะมานั่งกินข้าวเช้าตรงนี้ทุกวัน แต่ก็ต้องยกเจ้า mini มาคุย m ด้วยตลอด
เพราะที่ไทยเป็นเวลาบ่าย ๆ เย็น ๆ ละ เดี๋ยวไม่เจอผู้คน



อาหารเช้าก็จะมีไอ้ข้าวตอกใส่นม ชืด ๆ (ซีเรียล) หนมปัง กะแยม เนย
มีหลายอย่างให้เลือกป้ายเอาได้
แล้วก็น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล มะเขือเทศ น้ำตะขบ อะไรก็แล้วแต่ป้าแกจะทำมาให้
(ปกติกินได้ซะที่ไหน แต่ก็ต้องกิน)


ขนมปัง เปลี่ยนโหมดไปทุกวัน ไม่รู้ไปสรรหา หนมปังมาได้ หลาย ๆ แบบให้กินจากไหน
แต่ไม่ว่าจะมาหน้าตายังไง ก็เอียนนนนน
นี่มันของกินกันตายชัด ๆ ฝรั่งมันกินกันเข้าไปด้ายยยยทุกวี่วัน


ชั้นจะอยู่ไม่ได้ก็เพราะต้องกิน ไอ้ของแบบนี้ืทุกวันนี่แหละฃ



ครัวป้าสะอาดสะอ้าน ไม่เห็นป้าจะทำไรกินเท่าไรเลย
ไม่เหมือนบ้านครูเพทายเลย ทำตลอดทั้งวัน ทำมื้อเช้า กินอิ่ม กระทะยังไม่ทันเย็น
ทำมื้อกลางวันต่ออีกแล้ว มื้อกลางวันยังกินไม่ทันหมด ก็จะเริ่มต่อมื้อเย็นอีก


สคส ป้า แกเอามาติดไว้ตรงนี้ ทางซ้ายของรูปนั่นแกะ ออกไปแล้วนะ
ส่วนนึง มาจากนักเรียนที่เคยมาอยู่กะแก ผ่านมาห้าหกปีแล้ว ยังเขียนมาหาแกอยู่เลย


ตรงนี้มันเย็นนะฮะ สิบกว่าองศาได้ ดูจากปรอทที่ติดอยู่ตรงกระจก
มีฮีตเตอร์ตั้งอยู่ข้าง ๆ ช่วยได้นิดหน่อย


ข้างนอกนี้ ยอดหญ้ามีน้ำแข็งเกาะนิด ๆ นะ
สระน้ำเล็ก ๆ นั่นผิวน้ำก็เป็นน้ำแข็ง แกต้องเอาไม้ไปกระเทาะ ๆ ตอนเช้า
แกบอกว่า เดี๋ยวปลาหายใจไม่ออก

เฮ้ย ยังมีปลามีชีวิตในนั้นอยู่อีกหรอ
แกบอกว่ามีสามตัวมาหลายปีละ แต่เพิ่งนอนหงายท้องตีกรรเชียง ไปตัวนึง เมื่อเช้า



ป้าแอ๊บอะ
จริง ๆ แกจะยิ้มหัวเราะตลอด ทุกครั้งที่คุยด้วยนะ
แต่พอเจอกล้องเข้าไป แกแอ๊บทุกทีเลย
จริง ๆ แล้วป้าแกมีชื่อเล่นด้วยนะชื่อ "Bunty" นึกถึงตอนสาว ๆ คงจะจี๊ดน่าดู


ป้าแก โชว์ของในบ้านให้ดู แกชอบของเก่ามาก
แต่อันนี้เป็นรูปบิดาของป้า มีอาชีพขับ taxi อยู่ใน brighton นี่แหละ




อันนี้ตุ๊กตาผี ของเก่าเช่นกัน
น่ากลัวเชี่ย ๆ เลยฮะ
แกบอกว่า เก่าจริง หกสิบปีแล้วมั้งถ้าจำไม่ผิด


อันนี้ก็เก่าจริง วิทยุสมัยสงครามโลก
แกโชว์ออฟโดยการเปิดให้ฟังด้วย น่าทึ่งว่ามันยังใช้ได้จริง
แต่สงสัยว่า เพลงที่มันดังออกมา มันเป็นเพลงเก่าตามวิทยุด้วยหรือเปล่านะ



เตาผิงป้าแก วันก่อนเราเข้าบ้านมา เห็นไฟลุกอยู่ในเตาผิง
เราก็มาบอกแกว่า เนี่ยป้า ครั้งแรกในชีวิตเลยนะ พี่เคยเห็นเตาผิง มีไฟลุกจริง ๆ เนี่ย
เคยเห็นแต่ในทีวีอะป้า คลาสสิกจริง ๆ เลยอะ

ป้าแกก็บอกว่า จะใช้เตาผิงก็ต่อเมื่อ ฮีตเตอร์มันร้อนไม่ทันใจ ตอนที่เข้าบ้านมาใหม่ ๆ น่ะ
เราก็งง ว่าเอ้า แล้วก่อไฟนี่มันจะทันใจหรือ

แกก็เดินไปข้าง ๆ เตาผิง แล้วเอามือหมุน ๆ วาวล์
ไฟลุก ฟู่ ๆ ๆ
หมุนอีกทาง ก็ลดลงได้ดั่งใจ

ช๊อค!!!


เตาผิงลวงโลก

ทำเป็นมีถ่านกอง ๆ ที่แท้แม่งแก๊ซ


ป้าแกก็ฮา ตามระเบียบ ได้หลอกคนบ้านนอก ไม่เคยเห็นเตาผิง


แมร่งง อายไปถีงไทยแลนด์เลย



วันนี้ป้าแก จะเก็บต้นจิงกาเบวแล้ว เอาไว้ใช้ปีต่อไป
ชักจะสงสัยว่า ต้นจิงกาเบว นี่เป็นของสมัยสงครามโลกอีกหรือเปล่า



มุมดูทีวีของป้าแก วัน ๆ ก็จะอยุ่ตรงเนี้ย ติดทีวีมาก ๆ
วันปีใหม่ลูกชวนไปปาตี้ก้ไม่ไป แกจะดุเอลตั้นจอน ถ่ายทอดสดจากลอนดอน